วันพุธที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

What's new : 6 นิสัยทำลายตัวเอง

ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดีคุณจะนึกถึงคนที่มีบุคลิกภาพอย่างไร?
บางคนนึกถึงคนที่ยิ้มอยู่ตลอดเวลา หรือคนที่ร่าเริงอยู่เสมอ ไม่ทุกข์ไม่ร้อน หรือคนที่ไม่เคยมีความทุกข์เลยใช่ไหมครับ ไม่ว่าคำตอบจะเป็นอย่างไรนั่นก็อาจถูกต้องในบางส่วน ถ้าพูดถึงคนที่มีสุขภาพจิตดี องค์การอนามัยโลกได้ให้ความหมายไว้ว่า สุขภาพจิตที่ดี คือ ความสามารถที่จะปรับตัวให้มีความสุขอยู่กับสังคมและสิ่งแวดล้อมได้ดี มีสัมพันธภาพอันดีงามกับบุคคลอื่น ดำรงชีวิตอยู่ได้ด้วยความสมดุลอย่างสุขสบาย รวมทั้งสนองความต้องการของตนเองในโลกที่กำลังเปลี่ยนแปลงได้โดยไม่มีข้อขัดแย้งภายในจิตใจ ไม่ว่าใครย่อมต้องอยากมีสุขภาพดีทั้งกายและใจ แต่คุณ ๆ ทราบหรือไม่ครับว่า คนที่ซึมเศร้า ไม่สบายใจนอกจากปัจจัยภายนอกแล้ว บางครั้งก็อาจจะมาจากนิสัยส่วนตัวของคุณเองก็ได้นะครับ

วันนี้เราลองมาสำรวจตัวเองกันดีกว่า ว่าคุณเป็นต้นเหตุแห่งความทุกข์ของคุณเอง เพราะมี 6 นิสัยต่อไปนี้หรือไม่
1. นิสัยขี้ระแวง คนที่มีนิสัยขี้ระแวงนั้นเป็นคนที่ไม่เคยไว้วางใจผู้ใดเลย ใครจะทำอะไรจะคิดอะไรก็นึกคิดไปว่าเขามีความประสงค์ร้ายกับตน คิดว่าใคร ๆ ไม่รัก ไม่ให้ความสำคัญ ไม่นับถือ ระแวงว่าจะถูกทรยศ หักหลัง คนขี้ระแวงไม่ว่าจะเป็นผู้ที่สวมบทบาทใด ๆ ในชีวิตก็จะทำให้บทบาทนั้นเป็นบทบาทที่มีปัญหาและคนที่ได้รับควาทุกข์นั้นก็คือตนเองและผู้ใกล้ชิด ถ้าคุณเป็นเจ้านายคุณก็จะระแวงว่างานที่มอบหมายให้ลูกน้อง อาจจะทำไม่สำเร็จ ระแวงว่าสามีจะมีเมียน้อย ภรรยาจะมีชู้ ฯลฯ นิสัยระแวดระวังนั้นเป็นสิ่งดี แต่ถ้าเป็นหวาดระแวงไปซะทุกเรื่องอย่างนี้คงแย่มากกว่า

2. คนที่ขาดความเชื่อมั่นในตนเอง นิสัยไม่มั่นคงในตนเองมักจะสร้างความทุกข์เป็นอย่างยิ่ง ด้วยไม่รู้จักตัวเองว่าตนนั้นต้องการอะไรกันแน่ ชอบอะไร แบบไหน ควรวางตัวแบบไหนในสังคม ไม่สามารถตัดสินใจในเรื่องต่าง ๆ ในชีวิตได้ ตั้งแต่เรื่องง่าย ๆ ในชีวิตประจำวันจนถึงเรื่องที่เป็นเรื่องใหญ่ ๆ ในชีวิต นิสัยขาดความเชื่อมั่นในตนเองใช่ว่าเจ้าของนิสัยจะชอบแต่ไม่อาจลบล้างความรู้สึกด้อยในใจตนเองได้ ทั้งที่ความรู้สึกที่ว่าตนเองนั้นต่ำต้อยแต่อาจจะไม่ใช่ความจริงก็ได้

3. นิสัยกล่าวโทษผู้อื่นอย่างไม่รู้จบสิ้น ในความผิดพลาดล้มเหลวที่ผ่านมาแล้วและสิ้นสุดไปแล้วถ้าคุณเป็นคนที่คอยแต่เพ่งโทษผู้อื่น เห็นว่าความผิดของคนอื่นนั้นยิ่งใหญ่เท่าภูเขา เป็นความผิดร้ายแรงไม่มีวันที่จะให้อภัยได้ มองเห็นแต่ความไม่ดี ความไม่ถูกต้อง ความไม่เหมาะสมในสิ่งที่ผู้คนรอบข้างของคุณทำ โดยไม่ได้มองด้วยใจที่เป็นกลางและเป็นธรรม มองอย่างที่ควรจะเป็นในสภาวการณ์และเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มองด้วยเหตุผล ฯลฯ ถ้าคุณมีนิสัยเช่นนี้ย่อมจะทำให้คุณทุกข์ทนและไม่มีความสุขแน่นอน เพราะคงไม่มีใครจะเป็นผู้ที่ไม่ถูกต้องดีงามสำหรับคุณทุกคนแน่

4. นิสัยหลีกหนีปัญหา หลีกหนีเหตุการณ์ หาทางออกให้กับตนเองอย่างผิด ๆ เช่น การดื่มสุรา ใช้ยาเสพติด การเล่นการพนัน โดยคิดว่าการใช้สุรายาเสพติดจะเป็นการแก้ปัญหาแต่จริง ๆ แล้วกลับเป็นการเพิ่มปัญหาให้มากขึ้นไปอีก กับบางคนอาจเป็นลักษณะไม่รับรู้ปัญหาที่เกิดขึ้น พาลทะเลาะปัญหาก็ไม่ได้รับการแก้ไขมิหนำซ้ำกลับทำให้เกิดปัญหาซ้ำซ้อนเข้าไปอีก

5. นิสัยมองโลกในแง่ร้าย คนเช่นนี้จะเป็นคนที่มีชีวิตแต่ละวันด้วยความหดหู่เศร้าหมองด้วยเห็นว่าผู้คนรอบตัวนั้นต่างเป็นศัตรูของตนเอง เป็นผู้ที่คอยทำลายตนเอง เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับตนต่างก็เลวร้ายทั้งนั้น เป็นคนที่คิดหรือมองคนในแง่ลบ

6. คนที่มีจิตใจหมกมุ่นอยู่กับความอาฆาตแค้น ชิงชัง ริษยา จิตใจเช่นนี้หาความสงบไม่ได้แน่ด้วยร้อนรนอยู่ด้วยความทุกข์ที่เกิดจากความคิดร้าย ๆ ของตนเอง ด้วยจิตอาฆาตแค้นที่ไม่ยอมอภัยและคอยคิดทำร้าย ความร้อนของไฟริษยาที่คิดว่าคนอื่น ๆ ล้วนดีกว่าตนทั้งนั้น ตนนั้นต่ำต้อยนัก มีทางใดที่จะเอาชนะหรือทำให้คนที่ตนเห็นเป็นศัตรูเดือดร้อน เจ็บปวดได้ก็จะทำ ถ้าคุณมีนิสัยอย่างนี้ก็จะมีแต่ความทุกข์ร้อนไม่หยุดหย่อน สำรวจพบเหตุแห่งทุกข์กันบ้างไหมครับ ถ้ามีนิสัยเหล่านี้อยู่ก็ควรจะหาหนทางดับทุกข์ด้วยการ ปรับปรุงกาย ปรับปรุงใจเสียใหม่ มองโลกในแง่ดี มองคนรอบข้างอย่างเข้าใจว่าคนทุกคนล้วนแตกต่างกัน ผู้คนในโลกนี้ต่างมีนิสัยที่ดีและไม่ดีกันทุกคน มองในส่วนที่ดีของเขาหรือถ้าเป็นไปได้ยอมรับในส่วนที่ไม่ดีของเขา ปรับตัวในทางที่ถูกต้องในสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับคุณอย่างดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ ความสำเร็จในการปรับตัวที่ดีย่อมจะทำให้คุณได้รับรางวัลแห่งชีวิต นั่นคือการเป็นผู้ที่มีสุขภาพจิตที่ดีและชีวีเป็นสุข

วันพุธที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

น้ำตาลเทียม ปลอดภัยหรือไม่?






การค้นพบน้ำตาลเทียมนั้นกลายเป็นฉากหนึ่งในหนังตลกคลาสสิคเรื่อง นัทตี้ โปรเฟสเซอร์ในปี 1879 ไอรา เรมเซ็นนักวิจัยจากมหาวิทยาลัย จอห์นฮอฟคินส์ ในบัลติมอร์ สังเกตเห็นอนุพันของ โคลทา ที่บังเอิญหยดลงมาจากมือของเขานั้นมีรสหวาน ขณะที่เขาไม่ได้ผอมลง แต่บัดดี้ เลิฟผอมลงซึ่งเป็นบุคคลิกที่เอ็ดดี้เมอร์ฟีเล่นและเจอร์รี่ลีวิสเล่นให้หนังตลกนั้น, หยดที่ก่อตัวขึ้นนั้นเป็นขั้นตอนเพื่อพัฒนาแซ็คคารีน (น้ำตาล) ซึ่งเป็นน้ำตาลเทียมที่เรารู้จักกันทุกวันนี้กว่า125ปีต่อมา แซ็คคารีนถูกรวมเข้ากับบัญชีน้ำตาลเทียมซึ่งมีโครงสร้างทางเคมีที่แปรปรวน, ใช้ประกอบกับอะซิฟูวเฟม โปทัสเซียม (สูเน็ทท์), แอสพาร์เทม(นูทราสวีท หรือ อีควอล์), แซ็คคราโลส (สปลีนดา), และ ดี-ทากาโทส(สูการี)ผลิตภัณฑ์เหล่านี้ใข้แทนน้ำตาล ตัวอย่างเช่นเราสามารถใช้น้ำเชื่อมของข้าวโพด, ในโซดา และน้ำหวาน และน้ำตาลชงกาแฟ ของหวานมีอญู่ในสิ่งต่างๆมากมายจากช็อคโกแล็ต, และน้ำมะเขื่อเทศ,ไปจนถึงหมากฝรั่ง, ไอศครีม, และเครื่องดื่มประเภทน้ำหวาน แต่อยากร็ว่าน้ำตาลเทียมปลอดภัยหรือไม่ , และช่วยในการลดน้ำหนักได้หรือไม่ , และมันมีบทบาทอย่างไรในอาหาร???น้ำตาลเทียมเป็นสารประกอบที่ให้รสหวานแต่ไม่มีพลังงานเหมือนในน้ำตาล และมีความหวานมากกว่าน้ำตาลถึง 30 ถึง 8,000เท่าและด้วยเหตุนี้มันจึงมีพลังงานน้อยกว่าเมื่อใช้ประกอบอาหาร ในน้ำตาลทรายละเอียด 1กรัมให้พลังงาน 4แคลอรี่ น้ำตาลเทียมไม่มีพลังงานเลยน้ำตาลเทียมสามารถใช้ในการควบคุมน้ำหนัก และเบาหวาน ทำให้เรามีสติในการควบคุมพลังงานและบริโภคอาหารที่หลากหลายไม่ต้องงดอาหารที่ชอบกินสิ่งนี้เป็นผลิตภัณฑ์ที่มีประโยชน์ในการใช้กับผู้ป่วยเบาหวาน และโรคอ้วน น้ำตาลเทียมไม่มีผลกับระดับน้ำตาลในเลือด แต่อาหารบางชนิดที่ประกอบด้วยน้ำตาลเทียมก็ยังคงมีผลกัน้ำตาลในเลือด เพราะสารคาร์โบไฮเดรด หรือโปรทีนอื่นๆในอาหารเหล่านั้น ขณะที่อาหารที่ใส่น้ำตาลเทียมเป็นอาหารปราศจากน้ำตาลความจริงปัญหาการควยคุมน้ำหนักอยู่ที่พลังงานที่รับและใช้ไป หากรับ และใช้ไปหมดก็จะไม่มีการสะสมเป็นไขมัน กการใช้น้ำตาลเทียมก็ช่วยได้ แต่หากว่าคุณดื่มไดเอ็ทโซด หรือ ไดเอ็ทโค๊ก แต่ทานเค็ก หรือไอศครีมนั้นไม่ได้ช่วยลดพลังงานที่คุณบริโภคเข้าไปเลยแต่การใช้น้ำตาลเทียมแทนน้ำตาลสามารถลดความเสี่ยงที่จะเกิดฟันผุได้ หากไม่บริโภคอาหารที่มีกรดอย่างในน้ำหวานที่ผสมโซดา เป็นต้นแซ็คคารีน ซาก้าเริ่มใช้ในปี 1970s, ในปี 1977 เอฟดีเอของสหรัฐพยายามจะแบนน้ำตาลเทียมนี้ เพราะมีผลการวิจัยในสัตง์ทดลองพบว่าเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ, ท่องทางเดินปัสสสวะ, รังไข่, ผิวหนัง ลัวยวะอื่นๆ แต่โณงงานผลิตอาหารประท้วง และได้รับชัยชนะข้อพิพาษนั้นในสภาทำให้ยังคงมีขายในตลาดโดยมีคำเตือนไว้ว่า “การใช้สารนี้อาจทำงห้เกิดปัญหายุ่งยากกับสุขภาพของท่าน ผลิตภัณฑ์นี้ประกอบด้วยแซ็คคารีน ซึ่งเป็นเหตุให้เกิดมะเร็งในสัตว์ทดลอง”ในช่ว่งปลายทศวรรษ 1990s องค์กรควบคุมแคลอรรี่ยืนยันความกังวลในสุขภาพที่จะเกิดขึ้นกับประชากรเมื่อทดสอบแซ้คคารีนพบว่าทำให้เกิดมะเร็งกระเพาะปัสสาวะในหนูตัวผู้ และให้ถอดออกจากตลาด แต่สภาคอนเกรส ไม่เห็นด้วยในประชากรที่ติดหวานโดยบริโภคน้ำตาลเทียม/แอสพารแตมซึ่งมีความผิดปกติที่เรีบกว่า ฟีนิวคีโตยูเรีย(PKU),จะไม่สามารถเผาผลาญฟินิวอะลานินได้ PKU ตรวจพบได้ตั้งแต่แรกเกิดโดยโปรแกรมการทดสอบในระยะสั้นบางรายอาจเกิดปวดศีรษะหลังบริโภคอาหารหวานที่ใส่น้ำตาลเทียมผลของน้ำตาลเมา เป็นทคนิคในการทำ, น้ำตาลเมาสามารถทำให้ท้องอืด,ท้องเดินในรายคน เพียงบริโภคน้ำตาลเมาเข้าไปเพียง 50กรัมประชากรชาวอเมริกันบริโภคน้ำตาลเทียมราว 180ล้านคนจากการกินดื่มผลิตภัณฑ์ปราศจกาน้ำตาล เช่นโซดาผสมน้ำตาลเทียม ในปี2004สถิติที่รวบรวมโดยองค์กรควบคุมแคลอรี่พบว่าแน้วโน้มการบริโภคไม่ลดลงเลยน้ำตาลเทียมตัวใหม่ล่าสุดคือสูคราลา (สฟลีนดา) ซึ่งจะไม่มีผลกับความร้อน และยังคงรสหวานในเครื่องดื่มร้อนๆ, สิ้นค้าที่แห้ง, และอาหาร นูตร้าสวีทไม่สามารถเก็บได้นานและใช้ปรุงอาหารไม่ได้ แต่สฟลีนดามีความเสถียรแม้นว่าจะถูกความร้อนดังนั้นจึงใช้ในการปรุงอาหารได้น้ำตาลเทียมอื่นอย่าง อลิแตมมีความหวานเป็น2,000เท่าของซูโครส ใช้กับอาหารและเครื่องดื่มในสหรัฐน้ำตาลเทียมอย่างไซคลาเมทมีความหวาน 30เท่าของซูโครส แต่พบว่ามีความหวานน้อยมากในทางการค้าจึงยกเลิกไปในปี 1970นอกจากนี้ยังมี ไดไฮโครชาโคเนสเป็นน้ำตาลเทียมที่ไม่มีแคลอรี่เป็นอนุพันจากไบโอฟลาโวนอยด์ของผลไม้รสเปรี้ยวมีความหวาน 300 – 2,000เท่าของซูโครสกลัยไซไรซินสกัดออกมาจากรากของไลโคไรซ์ไม่มีแคลอรี่ ฟวานเป็น 50 – 100เท่าของซูโครสสทีไวโอไซด์มาจากใบของพืชทางอเมริกาใต้ และมีความหวาน 300เท่าของซูโครส ได้รับการอนุญาตให้ใช้ได้ใน 10ประเทศได้แก่ญี่ปุ่น, ฟารากว, และบลาซิล ฯลฯ ในสหรัฐขายในลักษณะเป็นเพียงผลิตภัณฑ์เสริมอาหารธอมาติน เป็นสารผสมของโปรทีนจากผลไม้อฟิริกาตะวันตกซึ่งมีความหวาน 2,000 – 3,000เท่าของซูโครสในสหรัฐอนุญาตให้ใช้เป็นผงที่ผสมในเครื่องดื่ม, แยม, เจลลี่, ผลิตภัณฑ์นม, โยเกิร์ต, ชีส, กาแฟและชาอินสเทนท์, หมากฝรั่งอีกแหล่งข่าวหนึ่งข้อมูลเตือนเรื่องสารแอสปาแตม ( โปรดอ่านรายละเอียดภาษาอังกฤษด้านล่าง )สรุปย่อ สารให้ความหวานเทียมทั้งหลาย ที่ถูกนำมาใช้แทนน้ำตาล รวมทั้งที่อยู่ในอาหารและเครื่องดื่ม เป็นสารพิษอย่างร้ายแรงที่ให้ผู้บริโภคตายช้าๆอย่างทรมาน เนื่องจากมันเป็นสารเคมีที่เข้าโจมตีระบบประสาทในสมองอย่างร้ายแรง คนที่บริโภคสารให้ความหวานเหล่านี้ จะมีอาการผิดปกติ 92 อย่าง หนึ่งในนั้นคือจะมีอาการที่เรียกว่า ลูปัสดังนั้นผู้ที่ชอบกินของหวานเทียม ดื่มน้ำอัดลมไดเอ็ททั้งหลาย หรือดื่มกาแฟใส่น้ำตาลเทียมระวังให้ดี นี่เป็นเพียงผลที่เกิดขึ้นกับตัวผู้บริโภคเท่านั้น ยังไม่รวมเด็กในท้องแม่ที่รับประทานสิ่งเหล่านี้ ว่าจะมีผลต่อสมองอ่อนๆของพวกเขาอย่างไรASPARTAME - THE SILENT KILLERFor those who take Ricola & Fisherman , please note that they both contain Aspartame - the silent killer.Fisherman SweetsFOR THOSE WHO LIKE TO EAT FISHERMAN SWEETS BE CAREFUL: Sugar free products contain ASPARTAME .. So don't consume Sugar free product esp. 'fisherman sweets' ASPARTAME - THE SILENT KILLER (by Ron Harder)To those who prefer to consume artificial flavouring:There is an epidemic acrossNorthAmerica today of Multiple Sclerosis and Lupus. Most people do not understand why this epidemic is happening, and they do not know why these diseases are so rampant. I would like to share with you the main reason we are having this very serious problem. Many people today use artificial sweeteners in their tea or coffee.They do this because the ads they see on TV tell them that sugar is bad for their health. This is absolutely true. Sugar is toxic to us , but what most people use as a replacement for sugar is much more deadly. I am talking about ASPARTAME. It is the cause of the epidemic that was mentioned above. ASPARTAME is an extremely toxic chemical that is produced by a chemical company called Monsanto.ASPARTAME is being marketed around the world as a sugar substitute and is found in all diet soft drinks, such as Diet Coke and Diet Pepsi . It is also found in artificial sweeteners such as NutraSweet, Equal, and Spoonful ; and it is used in many other products as a sugar replacement.ASPARTAME is marketed as a diet product, but it is not a diet product at all. In fact, it will cause you to GAIN weight because it makes you crave carbohydrates. Causing you to gain weight is only a very small part of what ASPARTAME does. It is a toxic chemical that changes the brain's chemistry It can and does cause severe seizures.This chemical changes the dopamine level in the brain, and it is particularly deadly for anyone suffering from Parkinson's disease.ASPARTAME is extremely poisonous, and here is why one of the toxic ingredients of it is wood alcohol. When the temperature ofASPARTAME exceeds 86 degrees F, the wood alcohol in it is converted to Formaldehyde, and then to formic acid, which in turn causes folic acidosis.FORMALDEHYDE is grouped in the same class of poisons as Cyanide and Arsenic which are very deadly toxins. The only difference is, Formaldehyde kills quietly, and it takes a little longer. And, in the process of killing people, it causes all kinds of neurological problems. There are 92 documented symptoms of Aspartame Poisoning leading to coma and death.The majority of these symptoms are neurological, because the ASPARTAME attacks and destroys the nervous system. One of these symptoms is Lupus, which has become almost as rampant as Multiple Sclerosis, especially with Diet Coke and Diet Pepsi drinkers.

วันพุธที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2551

เคล็ดลับชลอความแก่-อายุยืน ตอนที่2

3. ดื่มน้ำน้อยมีผลร้ายที่คุณคิดไม่ถึง เมื่อเร็วๆ นี้ได้อ่านข่าวจากหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง ซึ่งลงบทสัมภาษณ์ของดาราสาวสวยระดับนางเอกท่านหนึ่ง เกี่ยวกับร่างกายของเธอที่มีการผิดปกติ เธอมีอาการอุจจาระไม่ออก เมนส์ไม่มา แถมเธอยังเข้าใจว่าการที่เมนส์มาบ้างไม่มาบ้างแล้วแต่อารมณ์นั้นเป็นเรื่องปกติขอผู้หญิงซะอีก เธอบอกว่าไม่ชอบดื่มน้ำเพราะจะทำให้ปัสสาวะบ่อย ส่วนใหญ่พวกดาราก็มักเป็นอย่างนี้ เพราะต้องอยู่แต่ในกองถ่ายจะหาห้องน้ำสะอาดๆยาก เลยต้องอั้นอุจจาระปัสสาวะเอาไว้ หรือแก้โดยการไม่ดื่มน้ำจะได้ไม่ต้องปัสสาวะ พฤติกรรมดังกล่าวนี้ไม่ใช่แค่เฉพาะดาราหรอก มีอีกหลายอาชีพที่เป็นกันอย่างนี้ อาจจะ เป็นเพราะภาวะสังคมที่รีบเร่งแข่งขันกัน ท่านที่ทำงานนั่งอยู่กับคอมพิวเตอร์หรือพนักงานทำบัญชีด้วยแล้ว ไม่ค่อยอยากจะลุกไปเข้าห้องน้ำกัน กลัวจะเสียเวลาทำงานหรือลืมเข้าห้องน้ำก็มี พอทำอย่างนี้ไปนานๆ เข้าร่างกายเราก็สร้างความคุ้นเคยว่าไม่ต้องอุจจาระไม่ต้องปัสสาวะกันเลย โดยร่างกายเข้าใจว่าวิธีการนี้ถูกต้อง ร่างกายของคนเราประกอบด้วยน้ำ 70 กว่าเปอร์เซนต์ เลือดเราประกอบด้วยน้ำ 90 กว่าเปอร์เซนต์ กระดูกเราก็ประกอบด้วยน้ำ 22 เปอร์เซนต์ ร่างกายเราเสียน้ำวันละ 2 ลิตรเศษ แล้วรับน้ำเข้าไป เพียงพอหรือไม่ ถ้าไม่พอเราก็ถือว่าขาดน้ำ ร่างกายและอวัยวะภายในจะรวนผิดปกติไปหมด เลือดเราจะข้นหนืด ยากที่หัวใจจะสูบฉีดเลือดไปหล่อเลี้ยงร่างกายส่วนต่างๆ ของร่างกาย หัวใจเองนั่นแหละจะตีบตันเสียก่อน ต้องทำบายพาสกันวุ่นวาย ความจำก็จะเสื่อมหรือเป็นอัลไซเมอร์ เพราะเลือดเลี้ยงสมองไม่พอ เส้นเลือดก็จะตีบตันหมดหรือไม่มีเลือดจะขึ้นไปเลี้ยง จากประสบการณ์ที่พบคนไข้ที่เป็นโรคความจำเสื่อม เป็นถึงระดับผู้บริหารใหญ่ๆก็หลายท่าน ดื่มน้ำวันละ 2-3 แก้ว ไม่เกิน 500 ซี . ซี . เลือดก็ข้นหนืด เต็มไปด้วยไขมัน สังเกตุได้หัวตาเหมือนกับเอาพู่กันป้ายสีขาวไว้ และก็ฟันธงได้เลยว่าทุกรายถ้าดื่มน้ำอย่างนี้คลอเรสเทอรอลสูงทุกคน รอให้เส้นเลือดอุดตันได้เลย เมื่อไปหาหมอ หมอก็จะจ่ายยาละลายลิ่มเลือดให้กิน มันก็เหมือนเราเอาสารส้มแกว่งในตุ่มน้ำเพื่อให้น้ำใส ตะกอนเมื่อมันนอนก้นน้ำก็จะใส แต่ถ้าเอาอะไรไปแกว่งทำให้น้ำกระเทือน ตะกอนก็ยังจะลอยขึ้นมาทำให้ น้ำขุ่นอีกอยู่ดี เช่นเดียวกัน เมื่อเรากินยาเลือดก็จะใส แค่ตะกอนในร่างกายมันยังไม่ออก ยังนอนก้นอยู่ในร่างกายเรา
ดังนั้นเราต้องใช้น้ำพาตะกอนเหล่านั้นออกมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลับไปอุดตันเส้นเลือด เราอีก เมื่อร่างกายขาดน้ำลำไส้ก็แห้ง ไม่มีน้ำที่จะพอเอาอุจจาระออกมาได้ ของเสียก็จะสะสมอยู่ในลำไส้ และลำไส้ก็ดูดซึมของเสียนั้นกลับเข้าร่างกายอีกเลือดเราก็ยังสกปรกและข้นหนืดมากขึ้นไปอีก และลองพิจารณาดูครับว่า เลือดที่เสียเมื่อเข้าไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วนั้น จะให้เกิดปัญหาตามมาอีกมากมายเพียงใด ที่ถูกแล้วเราควรจะอุจจาระ 1-3 ครั้งทุกๆวัน ออกมาเป็นเส้นไม่เล็กนัก ปริมาณพอสมควรกับอาหารที่ เราทานเข้าไป ไม่ใช่ทานเข้าไป 1 กิโลกรัม ถ่ายออกมา 1 ขีด ที่เหลือหายไปไหนหมด มันเข้าไปบำรุง ร่างกายเราทั้งหมดหรือ ถ้าเป็นอย่างนั้นเราคงตัวโตเท่าช้างแน่ การที่รอบเดือนหายไป 5-6 เดือนหรือมาๆหยุดๆ แล้วแต่อารมณ์นั้น ไม่ใช่เรื่องปกติของผู้หญิงทั่วไป ที่ถูกสำหรับดาราสาวท่านนี้ ดื่มน้ำน้อยมาก เลือดคงจะข้นหนืด ผนังมดลูกคงจะแห้งไม่ลอกหลุดออกมาเมื่อมีไข่ตก และไม่ได้รับการผสมพันธุ์ เลือดนั้นก็ยังสะสมเป็นของเสียอยู่ที่ผนังมดลูกเดือนแล้วเดือนเล่า เมื่อช่องทางการขับของเสียดำเนินไม่ได้ตามธรรมชาติ ร่างกายก็จะสร้างรั้วขอบเขตเป็นถุง เป็นเนื้องอก มาหุ้มห่อของเสียนั้นไว้ ของเสียก็จะค่อยๆกลายเป็นเนื้องอกและกลายเป็นมะเร็งในที่สุด
ช่องทางในการขับของเสียออกจะมีอยู่ 5 ช่องทางด้วยกันคือ
1. ไต ขับออกมาทางปัสสาวะ
2. ลำไส้ใหญ่ ขับออกมาทางอุจจาระ
3. ปอด ขับออกมาทางลมหายใจ
4. ผิวหนัง ขับออกมาทางเหงื่อ
5. รอบเดือน ขับออกมาทางประจำเดือน เมื่อช่องทางการขับของเสียไม่สมบูรณ์ หรือถูกปิดกั้นมันก็จะต้องพยายามหาทางออกให้ได้ เช่น ออกมาเป็น สิว ฝ้า กระ ฝี ริดสีดวง สิ่งเหล่านี้เป็นของเสียที่ร่างกายพยายามขับออกมาทั้งนั้น ดังนั้นถ้าเรามีอาการดังที่กล่าวมา ก็ ขอให้เราจงเข้าใจด้วยว่าร่างกายเรามีของเน่าเสียอยู่ภายในแล้ว มันเป็นสัญญาณเตือนภัย ที่เราไม่ควรมองข้าม หรือกินแต่ยา ฉีดยากดอาการเหล่านี้ไว้ไม่ให้แสดงออก เพราะนั่นไม่ใช่วิธีการรักษา หรือบำบัดโรคต่างๆให้หายไป แต่กลับเป็นการทำให้โรคหรืออาการนั้นรุกคืบไปเรื่อยๆ เหมือนรุกใต้ดิน โดยที่เราไม่รู้สึกอะไร จะรู้สึกตัวอีกทีก็ต่อเมื่อสายเสียแล้ว ... 4. เส้นโลหิตในสมองบกพร่อง - เคล็ดลับการวินิจฉัยอาการโรค Apoplexy เพื่อนคนหนึ่ง หกล้ม ใ นงานบาบีคิวปาร์ตี้ เพื่อนในงานแนะให้หาหมอ แต่เจ้าตัวบอกว่าไม่เป็นไร เพียงแต่ใส่รองเท้าใหม่แล้วสะดุดเท่านั้น อิงอิงดู ยืนไม่ค่อยมั่นคง เพื่อนช่วยปัดเป่าเสื้อผ้าให้แล้วยกอาหารจานใหม่ให้ร่วมสนุกกันต่อ หลังจากนั้น ผู้สามีแจ้งมาว่า อิงอิงถูกส่งเข้าโรงพยาบาล แต่แล้วก็เสียชีวิตตอน 6 โมงเย็น ถ้าหากเพื่อนๆ รู้จักวินิจฉัยอาการโรค ป่านนี้อิงอิงอาจยังมีชีวิตอยู่กับเพื่อนๆ บางคนเส้นโลหิตในสมองแตก อาจไม่ตาย แต่ก็อาจเป็นอัมพฤตหรืออัมพาด แพทย์ทางประสาทวิทยากล่าวว่า หากผู้ป่วยถึงมือแพทย์ภายใน 3 ชม . ก็จะมีโอกาสรอด ถ้าคนข้างเคียงไม่รู้จักวินิจฉัยอาการ สมองผู้ป่วยก็จะถูกทำลายอย่างร้ายแรง วิธีวินิจฉัยอาการ แพทย์แนะว่า คนข้างเคียงเพียงแค่ทดสอบผู้ป่วยด้วย 3 ข้อ
โปรดจำเคล็ดลับ STR ดังต่อไปนี้
> S: (smile) ยิ้ม
> T: (talk) พูดประโยคที่มีสาระสมบูรณ์ เช่น วันนี้อากาศสดใสดีจัง
> R: (raise) ชูแขนสองข้าง อาการอีกอย่างที่ไม่ควรมองข้าม ให้ผู้ป่วยแลบลิ้นออก ถ้าลิ้นม้วนหรือเบี้ยวไปข้างหนึ่ง ใช่แล้ว ส่ออาการอันตราย !!! ถ้าผู้ป่วยมีอาการผิดปรกติข้อใดข้อหนึ่ง ให้รีบติดต่อแพทย์ ส่งร . พ . โดยด่วน
ขอบคุณข้อความดีๆ จาก ชัยวัฒน์ เตียตระกูลFw.

เคล็ดลับชลอความแก่-อายุยืน ตอนที่ 1

คำตอบคือกินสายกลาง
กินสายกลางคือกินมื้อเช้าและมื้อเที่ยง งดมื้อเย็น
เปรียบตัวเราเป็นรถยนต์ ตื่นเช้ามาต้องเติมน้ำมันก่อน หรือกินมื้อเช้า รถจึงจะวิ่งได้ ถึงเที่ยงน้ำมันยังไม่หมด เติมอีกครั้ง ถึงเย็นก่อนนอนก็ยังไม่หมดพิสูจน์ได้ดังนี้ สมมุติกินไข่ลวก 1 ฟองโตๆ มีไข่แดงหนัก 50 กรัม ในไข่แดงมีคลอเลสเตอรอล 1 กรัม ให้พลังงาน 9 แคลอรี่ ฉะนั้น 50 กรัม ให้พลังงาน 450 แคลอรี่ จะต้องออกกำลังกายเพื่อใช้พลังงานนี้ โดยขี่จักรยานตั้งแรงต้านไว้ 1.3 ก . ก . ความเร็วที่ปั่นบันไดจักรยาน 60 รอบต่อนาที ขี่อยู่นาน 60 นาที จะเหนื่อยหอบ เหงื่อไหลท่วมตัว แต่ใช้พลังงานไปเพียง 300 แคลอรี่ ไข่ใบเดียวใช้ไม่หมด ฉะนั้นถ้า กินมื้อเช้า มื้อเที่ยง จนถึงเย็น พลังงานยังเหลือแน่นอน ไม่จำเป็นต้องไปเติมอีก เพราะเวลานอนร่างกายจะนำพลังงานที่เหลือใช้ไปเก็บในที่ต่างๆ โดยตับเป็นผู้ทำงานนี้ ถ้าพลังงานเหลือมาก การเอาไปเก็บในที่ต่างๆก็มาก ทำให้อ้วน และแน่นอนถ้าเก็บไม่หมดโดยเฉพาะพวกไขมันตัวโตๆ จะต้องค้างอยู่ในหลอดเลือด ถ้าค้างสะสมมากเท่าใด รูหลอดเลือดก็จะเล็กลงทุกวัน เลือดไปเลี้ยงอวัยวะต่างๆได้น้อยลง อวัยวะทั้งหลายก็จะเสื่อมสภาพเร็วขึ้นหรือแก่เร็วขึ้น ถ้าวันไหนอุดตัน เช่นถ้าตันที่สมอง จะกลายเป็นคนพิการอัมพาตครึ่งซีก ถ้าอุดตันที่ไต ต้องล้างไต เปลี่ยนไต ถ้าตันที่ขา อาจต้องตัดขาทิ้ง ถ้าตันที่กล้ามเนื้อหัวใจ ก็จะไม่มีโอกาสได้สั่งลาใคร ฉะนั้น การกินมื้อเย็นจึงเป็นมื้อที่เร่งกระบวนการเสื่อมถึงเสียชีวิตให้เร็วขึ้นไปอีก มื้อเย็นจึงเป็นมื้ออันตราย เป็นมื้อตายผ่อนส่ง ยิ่งกินมื้อเย็นมาก ยิ่งผ่อนส่งมาก ตายเร็ว ถ้าไม่กินมื้อเย็น ก็จะแก่ช้า เสื่อมช้า อายุยืน การไม่กินอาหารมื้อเย็นเป็นเรื่องที่ต้องเอาชนะใจตัวเองอย่างมาก ถ้าใครทำได้จะตัดทั้งกิเลส สุขภาพดี อายุยืน และมีสมาธิดี ความมุ่งมั่นสูง ได้ประโยชน์ทั้งกายและใจ แต่ท่าน ต้องฝึกกระเพาะให้เกิดความเคยชิน
วิธีฝึกมี 4 วิธี
1. ค่อยๆลดปริมาณอาหารมื้อเย็น ทีละน้อยๆเช่นลดกินข้าวจาก 2 จาน เหลือ 1 1/2 จาน สัก 3-4 เดือน โดยมีข้อแม้ว่า หลังอาหารเย็นแล้วห้ามกินอาหารใดๆทั้งนั้นยกเว้นน้ำเปล่า พอกระเพาะชินแล้วลดเหลือ 1 จาน ต่อไปครึ่งจาน ต่อไปไม่กินข้าวเลยกินแต่กับ ต่อไปกินผักผลไม้ สุดท้ายงดอาหารเย็น
2. ร่นเวลากินอาหารเย็น เช่นจาก 2 ทุ่มมากิน 1 ทุ่ม ต่อไปเลื่อนเป็น 6 โมงเย็น 5 โมงเย็น 4 โมงเย็น 3 โมงเย็น ฯ
3. กินเม็ดแมงลักแทนมื้อเย็น ใช้เม็ดแมงลัก 2 ช้อนโต๊ะใส่ในถ้วยน้ำแกงหรือน้ำเปล่าคนแล้วดื่มทันที ดื่มน้ำตามอีก 4-5 แก้ว
4. กินมังสะวิรัตมื้อเย็น การกินผักผลไม้ถือว่าเป็นอาหารไม่มีพิษ ร่างกายจะได้พักไม่ต้องทำลายพิษของอาหารเนื้อสัตว์ พิษที่สะสมไว้ก่อนก็จะถูกตับ ไต กำจัดหมดไปเองได้ ร่างกายมีเวลาถึง 18 ช.ม. กำจัดพิษที่ติดมากับมื้อเช้า มื้อเที่ยงได้ทัน ฉะนั้นการไม่กินอาหารเย็นจึงเป็นเวลาที่ตับ ไต จะสามารถกำจัดสารพิษจากอาหารมื้อเช้าและเที่ยงได้หมด ร่างกายจึงบริสุทธิ์ทุกวัน ท่านทราบแล้วใช่ใหมว่า ทำไมสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จึงทรงบัญญัติให้พระฉันเพียง 2 มื้อ คือ เช้า กับ เพล

2. โรค Attention Deficit Trait โดย ผศ . ดร . พสุ เดชะรินทร์ mailto:pasu@acc.chula.ac.thท่านผู้อ่านเป็นผู้หนึ่งที่ชอบทำงานในลักษณะของ Multitasking หรือไม่ครับ ? คนกลุ่มนี้จะเป็นพวกที่สามารถหรือชอบที่จะทำงานหลาย ๆ อย่างไปในขณะเดียวกัน เช่นในขณะที่กำลังเช็คอีเมลทางคอมพิวเตอร์ ก็กำลังคุยโทรศัพท์สั่งงานกับลูกน้อง พร้อมทั้งดื่มกาแฟไปพร้อมกัน หรือในขณะที่กำลังนั่งประชุม ก็สั่งงานพร้อมทั้งหาข้อมูล และตัดสินใจผ่านทางเครื่องโน้ตบุ๊คที่ตั้งอยู่ข้างหน้า ในอดีตผมก็เคยชื่นชมคนพวกนี้นะครับว่า มีความสามารถมาก สามารถทำงานได้หลายอย่างในขณะเดียวกัน สามารถทำงานได้ออกมาเยอะ และดูยังสงบไม่ตื่นเต้นโวยวายเท่าใด แต่ท่านผู้อ่านทราบไหมครับ ว่า การทำงานในลักษณะ Multitasking นั้น กลับเป็นสาเหตุประการหนึ่งของโรคร้ายใหม่ในที่ทำงาน ที่เราเรียก Attention Deficit Trait หรือ ADT โรคนี้เป็นโรคที่เราจะเจอมากขึ้นเรื่อยๆ ในที่ทำงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสภาวะแวดล้อมที่บังคับให้คนทำงานจะต้องทำงานด้วยความรวดเร็วมากขึ้น ทำงานหลายอย่างพร้อมๆ กัน จะต้องตื่นตัวตลอดเวลา ไม่มีเวลาหรือโอกาสได้สงบพัก อ่านแล้วลองพิจารณาตัวท่านเองหรือบุคคลรอบข้างนะครับว่า เป็นโรคนี้หรือไม่ ? ผมอ่านพบเจอโรคนี้จากวารสาร Harvard Business Review ฉบับเดือนมกราคม 2548 ในบทความชื่อ Why Smart People Underperform เขียนโดย Edward M. Hallowell ซึ่งเป็นจิตแพทย์ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญในโรคที่เกี่ยวกับสมองและสมาธิทั้งหลาย คุณหมอท่านนี้ทำการรักษาอาการ Attention Deficit Disorder หรือ ADD มากว่า 25 ปี และ โรค ADD นี้เราเริ่มรู้จักกันมากขึ้นในเมืองไทย โดยเฉพาะผู้ที่มีลูกอยู่ในวัยเรียน เรามักจะเรียกโรคนี้ว่าเป็นโรคสมาธิสั้น ผู้เขียนบทความนี้เขาพบว่า ในช่วงหลังๆ เริ่มมี ผู้ใหญ่ เข้ามารับการรักษาในอาการที่คล้ายกับโรคสมาธิสั้นกันมากขึ้น แต่เมื่อวินิจฉัยดูก็ไม่ได้เป็นโรคสมาธิสั้น แต่เป็นโรคอีกชนิดหนึ่ง ที่มีอาการคล้ายกับโรคสมาธิสั้น คุณหมอท่านนี้ เลยตั้งชื่อใหม่ว่าเป็น Attention Deficit Trait หรือ ADT โดยสาเหตุของ ADT จะต่างจากโรคสมาธิสั้น เนื่องจากโรคสมาธิสั้นจะมีสาเหตุมาจากพันธุกรรมและสภาวะแวดล้อม แต่ ADT นั้น จะมาจากสภาวะแวดล้อมเป็นหลัก ผู้ที่เป็นโรค ADT นั้น มักจะมีอาการสมาธิสั้น ไม่สามารถจดจ่ออยู่กับงานใดงานหนึ่งได้นานๆ ก็จะถูกดึงดูดด้วยงานอย่างอื่น มีความวุ่นวายอยู่ข้างใน ( แต่มักจะไม่แสดงออกมาให้ผู้อื่นเห็น ) ไม่ค่อยอดทน มีปัญหาในการจัดระบบต่างๆ (Unorganized) การจัดลำดับความสำคัญ และการบริหารเวลา โรค ADT นี้ มักจะเริ่มก่อเกิดขึ้นเมื่อเราก้าวขึ้นไปเป็นผู้บริหารระดับสูงขึ้นเรื่อยๆ การที่มีความรู้สึกว่ามีงานด่วน หรือสิ่งที่จำเป็นและเร่งด่วนที่จะต้องทำเข้ามาเรื่อยๆ และท่านพยายามที่จะจัดการกับงานด่วนเหล่านั้นให้สำเร็จ จะเป็นบ่อเกิดที่สำคัญของโรค ADT เพราะเมื่อเรามีงานที่เร่งด่วน หรือจำเป็นเข้ามาเรื่อยๆ เราก็มักจะรับภาระความรับผิดชอบต่องานเหล่านั้น อีกทั้งไม่บ่นไม่โวยวายต่อภาระงานที่เพิ่มขึ้น เราจะก้มหน้าก้มตาพยายามทำให้งานสำเร็จ ทั้งๆ ที่กำลังความสามารถ และเวลาของเราไม่เหมาะสมและสอดคล้องกับปริมาณของงานที่เข้ามา ดังนั้น เมื่อเจอกับปริมาณงานที่เพิ่มขึ้นและเร่งด่วนขึ้น เราก็มักจะอยู่ในอาการของความรีบร้อนตลอดเวลา พยายามทำงานให้เสร็จโดยเร็ว การทำงานหลายๆ อย่างไปพร้อมๆ กัน และขาดสมาธิต่อการทำงานๆ หนึ่ง ( Unfocused) แต่ในขณะเดียวกัน บุคคลเหล่านี้ก็จะไม่บ่นไม่โวยวาย ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะไม่มีปัญหาอะไรเกิดขึ้น ทีนี้ท่านผู้อ่านอาจจะสงสัยครับว่าโรค ADT จะก่อให้เกิดปัญหาอะไรขึ้น ? ง่ายๆ ก็คือ ทำให้สมองเราสูญเสียความสามารถในการคิด วิเคราะห์ และทำงานอย่างละเอียดลึกซึ้ง จะส่งผลให้งานที่ออกมาเป็นงานที่เร็วแต่ไม่ลึก จะทำให้ความสามารถในการทำงานของเราลดน้อยลง การที่สมองเราจะต้องรับ วิเคราะห์ และประมวลผลข้อมูลต่างๆ เพิ่มมากขึ้น ความสามารถในการแก้ไขปัญหาอย่างสร้างสรรค์ก็ลดลง อีกทั้งความผิดพลาดก็เกิดขึ้นได้มากขึ้น โรคนี้ถือเป็นโรคใหม่ในที่ทำงานอย่างหนึ่งครับ เกิดขึ้นเนื่องจากสภาวะแวดล้อมในการทำงาน ที่ต้องการความรวดเร็ว และมีความสลับซับซ้อนมากขึ้น สมองเราจะต้องรับและประมวลผลข้อมูลต่างๆ มากขึ้นกว่าเดิม วัฒนธรรมในการทำงานในปัจจุบัน ก็เป็นสาเหตุสำคัญอย่างหนึ่งที่ทำให้เราเกิดโรคนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งความสำคัญของความเร็วในการทำสิ่งต่างๆ ในปัจจุบันดูเหมือนว่าเราต้องการความเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ ( เรามักจะคิดว่าในเมื่อคนทุกคนมีเวลาเท่ากัน ดังนั้น ผู้ที่มีความเร็วมากกว่าจะทำงานได้มากกว่า ) ท่านผู้อ่านลองสังเกตซิครับเวลาท่านขึ้นลิฟต์ ปุ่มไหนที่ท่านจะกดบ่อยที่สุด ปุ่มนั้นก็คือปุ่ม ' ปิดประตู ' เนื่องเพราะทุกคนเป็นทาสของความเร็ว ไม่สามารถรอให้ลิฟต์ปิดได้เอง *** ไม่ทราบว่าท่านผู้อ่านเป็นโรค ADT กันบ้างไหมครับ ผมลองสังเกตตัวเองก็รู้สึกว่าเป็นเหมือนกันครับ ทั้งสาเหตุและอาการก็เหมือนกับที่คุณหมอเขาเขียนไว้ในบทความของเขาเลยครับ เพียงแต่ท่านผู้อ่านอย่าเพิ่งตกใจนะครับ ถ้ารู้สึกว่าตนเองเป็น ADT เนื่องจากคนแต่ละคนจะมีวิธีการในการบริหารและจัดการกับโรค ADT ที่ต่างกัน ( เนื่องจากสมองของคนแต่ละคนต่างกัน ) ***

วันเสาร์ที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2551

มหันตภัยกล่องโฟม‏ FW: น่าสนใจ

สำคัญมาก ต้องอ่าน
หลายคนคงจะรู้จัก โรคด่างขาว บางคนเรียก โรคสะเก็ดขาว มันก็โรคมะเร็งผิวหนังดีๆ นี่เอง เรื่องมันมีอยู่ว่า เมื่อวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2551 เวลาประมาณ 10.00 น.วันนั้นกำลังจะเดินทางไป จ.ชลบุรี ก่อนเดินทางก็นำรถยนต์เข้าปั๊มน้ำมันเพื่อจะเช็คลมยาง บังเอิญมีรถยนต์ยี่ห้อ เมอร์ซิเดส เบนซ์ คันหนึ่งกำลังเติมลมอยู่ก่อนแล้ว ก็เลยจอดรอเพื่อจะเช็คลมยางเป็นคันต่อไป แต่เผอิญเจ้าของรถ เมอร์ซิเดส เบนซ์ เป็นเพื่อนรุ่นพี่ที่ไม่ได้พบกันมานานหลายปี (เมื่อก่อนดื่ม เที่ยวด้วยกันเป็นประจำ) เป็นนายตำรวจยศพันตำรวจโท ปัจจุบันรับราชการอยู่ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ปทุมวัน กรุงเทพ ฯ ก็เลยลงไปสนทนาปราศรัยในฐานะเพื่อนรุ่นพี่ที่เคารพรักและไม่ได้พบปะกันมานาน สอบถามสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา พี่คนนี้ลักษณะแกคล้ายๆ อี๊ด วงฟลาย แต่หน้าตาดีกว่า ลักษณะแบบนี้คงนึกออกนะว่าเป็นยังไง แต่พอคุยจ้องหน้ากันมากๆ แกก็อายๆ อยู่บ้าง เพราะไม่เจอนานหลายปี แต่ตอนนี้แกเป็น โรคด่างขาว ขึ้นทั้งปาก ทั้งศีรษะ กระทั่งมือเต็นไปหมด แกเล่าให้ฟังว่า วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ แกไปทำงานที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กรุงเทพ ฯ ไปอยู่คนเดียว ครอบครัวไม่ได้ตามไปอยู่ด้วย วันหยุดราชการถึงกลับไปอยู่กับครอบครัวที่ จ.ระยอง เมื่อวันทำงานเวลารับประทานอาหารทุกมื้อ ลูกน้องจะเป็นผู้ไปซื้ออาหารมาให้ คือพี่แกเป็นคนรับประทานอะไรง่ายๆ อาหารทุกอย่างจะใส่กล่องโฟมมาตลอด แกบอกรับประทานอาหารที่ใส่กล่องโฟมแบบนี้ทุกมื้อเป็นเวลาประมาณ 2 ปี เท่านั้นแหละ โรคด่างขาวมันอาละวาด ลุกลามเต็มตัว และรวดเร็วมาก ทุกวันนี้ต้องไปพบแพทย์ที่ โรงพยาบาลศิริราช แพทย์จะให้ยามาทาหลอดหนึ่งราคา 1,800.- บาท แกบอกรักษามา 6 เดือนแล้ว ตอนนี้ดีขึ้นมาก ตั้งแต่นั้นมา แกบอกว่า เวลาลูกน้องไปซื้ออาหารห้ามใส่กล่องโฟมโดยเด็ดขาด ให้ใส่ถุงพลาสติคเพียงอย่างเดียว ซึ่งแพทย์บอกว่า ถุงพลาสติคยังไม่ค่อยอันตรายเท่าไร เพราะกล่องโฟมเวลาโดนอาหารร้อนๆ จะมีสารชนิดหนึ่งละลายออกมาอยู่ในอาหารในกล่อง พอเรารับประทานเข้าไปมากๆ ก็จะเป็นผลเสียต่อร่างกาย ที่เล่าให้ฟัง เพราะทุกวันนี้โรคภัยไข้เจ็บมันมีมากจริงๆ โดยเฉพาะโรคมะเร็ง มันจะก่อเกิดมาจากอาหารการกิน และอากาศที่เป็นพิษในบรรยากาศ อย่างที่ จ.ระยอง ถ้าจะเล่าให้ฟังแล้วจะตกใจ มีหมู่บ้านอยู่หมู่บ้านหนึ่ง (ไม่ขอเปิดเผยนามหมู่บ้าน) อยู่ที่ อ.บ้านฉาง จ.ระยอง ไม่ว่าจะเป็นผู้เฒ่าผู้แก่ คนหนุ่มคนสาว หรือเด็กๆ เป็นมะเร็งกันทั้งหมู่บ้าน น่ากลัวไหมล่ะ ยังไงเกิดมาชาติหนึ่ง ร่างกายก็ไม่ใช่ของเรา ธรรมชาติให้เราเอามาใช้ (บางคนก็ใช้ชั่วคราว บางคนก็ใช้ถึง 70 - 80 ปีหรือมากกว่านั้น แล้วแต่อายุขัย) รักษาดูแลมันดีๆ หน่อย อย่าใช้มันให้สิ้นเปลื้องมากนัก ตามคำพระที่ว่า อโรคยา ปรมาลาภา ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ..... !!!!